วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SVT

ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
หัวใจเต้นเร็วมากกว่า 150ครั้ง/นาที
ไม่มี p wave
Rate สม่ำเสมอ
มักมาด้วยใจสั่น เหนื่อย
จับชีพจรด้วยมือนับไม่ทันมันเร็วมาก
บางคนมัีประวัติเป็นthyroid
ส่วนมากรักษาด้วยยา  adenosin  6mg เข้าเส้นเลือดpush เร็วๆด้วย dubble  syring  ถ้าให้ดีเข้าแขนด้านขวาเพราะถึงหัวใจได้เร็ว  ถ้าไม่ได้ผล  dose2 เป็น adenosin  12 mg  dose 3  adenosin  อีก 12 mg  ได้มากสุด 3 dose  ระหว่างให้ ต้องEKG monitor  ตลอด  on O2 canular  3 lit/min
ความรู้สึกเหมือนตกเหวแวบเดียว  เดียวก็ดีครับ  ...............








หลังให้ยา  หัวใจเต้นปกติครับ  หายใจสั่นแล้ว  admit observe  ต่อไป.........

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

งูกะปะกัด

สวัสดีครับวันนี้blog health ขอนำเสนอเรื่องของการดูแลเบื่องต้นเมื่อถูกงูกัด

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด


@    ให้พยายามดูว่าเป็นงูอะไรที่กัดเรา  เป็นงูมีพิษหรือไม่  ให้ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ให้ช่วยตีงูให้ตาย  แล้วนำงูมาที่ โรงพยาบาลด้วยครับ  เพื่อการวินิจฉัย และการให้เซรุ่มต้านพิษงูจะทำได้เร็วขึ้น  แต่ถ้างูมันเลื้อยหายไปแล้วตามไม่ได้ ก็ไม่ต้องรอ นะครับให้มาโรงพยาบาลเลย

@   การขันชะเนาะ ยังเป็นข้อถกเถียงกันว่าควรทำหรือไม่  แต่ถ้าเป็นงูที่มีพิษต่อระบบเลือดเราไม่แนะนำให้ทำครับ  เหตุผลมาจากทางแพทย์กลัวว่า จะมีผลต่ออวัยวะที่ถูกกัดคือ ทำให้มีเนื้อตายมากขึ้น  หากจะทำควรทำให้ถูกวิธีครับ  คือใช้เชือก  หรือผ้า รัดเหนืออวัยวะที่ถูกงูกัด  3-5 นิ้ว ให้แน่นพอควร  แล้วคลายเชือกทุกๆ 15  นาทีแล้วรัดใหม่เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่ออวัยวะที่ถูกกัด  ทำจนว่าจะมาถึงโงพยาบาล ถ้าไม่คลายเลยมันจะทำให้เกิดเนื้อตายมากขึ้น  ซึ่งบางครั้งอาจจะถูกงูไม่พิษกัด  แต่รัดเชือกสะแน่นเลย  เลยได้โรคใหม่กลับไปคือ กล้ามเนื้อตาย  รักษากันอีกนานกว่าจะหาย


@   ควรให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่นิ่งๆมากที่สุดไม่ขยับไปมา  รวมถึงห้ามเดินหรือวิ่ง เพื่อเป็นการลดการแพร่ของพิษเข้าสู่หัวใจให้ช้าลง

@   ห้ามใช้ไฟจี้แผล  หรือใช้มีดกรีดปากแผลนะครับ  อาจจะทำให้เลือดออกมากขึ้น  และไหลไม่หยุด  รวมทั้งห้ามใช้ปากกัดตรงแผลแล้วดูดพิษออกนะครับ  เพราะปากเรามันมีเขื้อโรคมากเลยครับ  เผลอๆถ้าปากเรามีแผลอาจจะได้รับพิษงูเข้าไปด้วย


@   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วแพทย์มักจะให้admit ทุกราย  รักษาตามอาการถ้าท่านไม่มีตัวงูมาให้แพทย์ดู  ก็ต้องตรวจเลือดเพื่อหาพิษของงู  ว่ามีพิษต่อระบบอะไร  งูก็จะมีพิษต่อระบบดังนี้  ระบบประสาท ก็จะทำให้มีอาการเช่น หนังตาตก  ซึมลง  พูดไม่ชัด  หยุดหายใจ   ระบบเลือด  จะทำให้ไม่แข็งตัว  VCT  มักมากกว่า 30นาที  มีเลือดออกตามไรฟัน  จากแผล  มีจุดจ้ำเลือดตามร่างกาย อาจจะปัสสาวะออกเป็นเลือด  และอีกระบบคือ  กล้ามเนื้อ   กล้ามเนื้ออ่อนแรง  และมีผลต่อไต  ทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้ครับ  แต่ไม่ต้องห่วงครับถึงโรงพยาบาลแล้วแพทย์ก็มีวิธีการรักษาให้หายครับ.....รวมถึงการให้เซรุ่มแก้พิษของงูก็จะทำได้เร็วขึ้นถ้าวินิจฉัยว่าเกิดจากงูชนิดไหน.........................................................................................................ขอให้โชคดี

..


วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ให้น้ำเกลือ จำเป็นแค่ไหน

         สวัสดีครับ blog  health  บทนี้นำเสนอเรื่องของ IV  fluid  หรือการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ  มีความจำเป็นแค่ไหน......?


            มีหลายท่านครับที่พอมาโรงพยาบาลก็ได้ได้น้ำเกลือสักกระปุกแล้วอาการป่วยน่าจะดีขึ้น  ต้องขอทำความเข้าใจตามนี้ครับ 
            การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำจะสั่งให้โดยแพทย์  จากการตรวจร่างกาย  หรือแพทย์มีความเห็นว่าจำเป็นต้องให้จากอาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์  เช่น

       ☆   ผู้ป่วยที่เสียเลือดเป็นจำนวนมากจากอุบัติเหตุ หรือHypovolemic  shock  อันนี้จำเป็นต้องให้น้ำเกลือจำนวนมากครับ ส่วนมากก็จะเป็น 0.9%Nss1000 ml  load  หรือ อาจเป็นAcetar  1000  mlให้เท่ากับจำนวนเลือดที่เสียไปครับ

       ☆   ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะ Shock ต่างๆ  แล้ว  ความดันโลหิตต่ำ  จำเป็นต้องให้สารน้ำอย่างเร่งด่วน  เพื่อให้ความดันโลหิต  อยู่ในภาวะปกติ

       ☆   ผู้ป่วยที่ทานอาหารไม่ได้  เหนื่อยเพลีย  อาเจียนตลอด  แพทย์ให้admit  และฉีดยาแก้อาเจียน น้ำเกลือที่ให้ก็อย่าง เช่น    5% DN/2   1000ml   เป็นต้น

       ☆  ผู้ป่วยที่ต้องงดน้ำ  งดอาหาร  เพื่อเตรียมผ่าตัด   เป็นต้นครับ

          น้ำเกลือที่มีใช้ในโรงพยาบาลก็มีหลายชนิดครับ ดังที่ยกตัวอย่างข้างต้น การเลือกใช้แต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันไป  ไม่ขอกล่าวในที่นี้ครับ เพราะรายละเอียดเยอะมากครับ......

           ดังนั้นถ้าเราไปโรงพยาบาลแล้วแพทย์ไม่สั่งให้น้ำเกลือเราก็ดีแล้วครับ  แสดงว่าอาการเราไม่หนักมาก.....สำหรับผู้สูงอายุถ้าไม่จำเป็นจริงๆแพทย์ก็มักจะไม่ให้น้ำเกลือครับ  เพราะแพทย์กลัวน้ำท่วมปอดครับ......ต้องเข้าใจหมอด้วยนะครับ
และมีอีกอย่างครับถ้าเราพอทานได้  ORS  ก็เป็นน้ำเกลืออีกอย่างที่ดีเท่ากับการให้ทางหลอดเลือดดำครับ.........จบhttp://www.amazon.com/?_encoding=UTF8&tag=wwwstory2heal-20

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศีรษะแตก ทำไงดี.....

ศีรษะแตก  บางท่านอาจเคยมีประสบการณ์ตรง   ก็อาจจะรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น หรือเคยถูกเย็บแผลที่ศีรษะมาแล้ว  สำหรับใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแผลที่ศีรษะ  ลองอ่านบทความนี้อาจจะเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นนะครับ.......


          ศีรษะแตกอาจเกิดจากหลายสาเหตุ  เช่นเดินหกล้ม ลื่นแล้วศีรษะกระแทกพื้น  หรือโต๊ะ  หรือจากอุบัติเหตุจราจร  หรือสิ่งของตกใส่ และอื่นๆอีกมากมาย  ที่จะทำให้เกิดแผลที่ศีรษะ  แล้วเราต้องจัดการอย่างไรกับมัน.....ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน
มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลครับ  ณ ที่เกิดเหตุแล้วมีเลือดออกมากให้หาผ้าสะอาดกดที่บาดแผลและต้องกดให้ตรงบาดแผล  ถ้ากดไม่ตรงเลือดก็จะไหลออกไม่หยุด บางทีจากแผลเล็กๆเลือดออกไม่หยุดเลยมองดูเหมือนว่าเป็น
แผลขนาดใหญ่  เสร็จแล้วก็ค่อยมาโรงพยาบาลครับ  พอถึงโรงพยาบาลหมอก็จะซักประวัติ ประเมินบาดแผลครับว่ามีความจำเป็นต้อง x-ray ก่อนจะเย็บแผลหรือไม่ มีสิ่งแปลกปลอมในแผลหรือไม่ กะโหลกศีรษะมีรอยแตกหรือไม่
health1 เย็บแผลที่ศีรษะ

            ส่วนขึ้นตอนการเย็บแผลไม่ขอกล่าวถึงนะครับ  สิ่งที่แพทย์กลัวที่สุดคือ  ผู้ป่วยมีประวัติสลบ  และมีอาการทางระบบประสาท ที่จะทำให้มีเลือดออกในสมองครับ  อาการอย่างเช่น  พูดสับสน  อาเจียนพุ่ง  แขน ขาอ่อนแรง  รูม่านตาตอบสนองต่อแสงไม่เท่ากันเป็นต้น  ถ้าเช็คอาการ เช็คบาดแผลแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็จะเย็บแผลให้เลย..........
health2 เย็บแผลที่ศีรษะ



               หลังเย็บแผลเสร็จ ก็จะเป็นคำแนะนำการปฎิบัติตัว การดูแลบาดแผล  เช่นการสระผมก่อนมาล้างแผลในวันถัดไป  หลังจากนั้นก็ห้ามแผลถูกน้ำ  มาล้างแผลทุกวัน  ครบ 7 วันตัดไหม  การทานยาแก้อักเสบให้ครบตามแพทย์สั่ง  การมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทยัค  การสังเกตุอาการทางระบบประสาท  24 ชม.แรกครับ.......http://www.amazon.com/?_encoding=UTF8&tag=wwwstory2heal-20
http://blogsiteslist.com
<script>
  (function(i,s,o,g,r,a,m){i['GoogleAnalyticsObject']=r;i[r]=i[r]||function(){
  (i[r].q=i[r].q||[]).push(arguments)},i[r].l=1*new Date();a=s.createElement(o),
  m=s.getElementsByTagName(o)[0];a.async=1;a.src=g;m.parentNode.insertBefore(a,m)
  })(window,document,'script','//www.google-analytics.com/analytics.js','ga');

  ga('create', 'UA-51657328-1', 'story2health.blogspot.com');
  ga('send', 'pageview');

</script>

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อาการหายใจเร็วกว่าปกติ

อาการหายใจเร็วกว่าปกติ  อันตรายมากไหม   ?

             หายใจเร็ว หรือที่เรียกว่า Hyperventilation  syndrom  หลายท่านอาจเคยพบเจอด้วยตัวเอง  หรืออาจจะเคยเป็นเองเลย....อาการที่พบคือ หายใจเร็ว เหมือนหายใจ  เหนื่อยหอบ  หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก  ชาปลายมือ ปลายเท้า  หรือบางคนชาทั้งตัว มักจะควบคุมตัวเองไม่ได้  แต่รู้เรื่องทุกอย่าง ส่วนสาเหตุหลักๆเลยน่าจะมาจากความเคลียด หรือ มีเรื่องที่เข้ามากระทบต่อจิตใจ แล้วรับไม่ได้กับเรื่องที่ได้รับฟัง  ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น  ชีพจรเต้นเร็ว  หายใจเร็วขึ้น มีมือจีบ เกร็งตามร่างกาย  อันนี้คืออาการของ Hyperventilation syndrom  ซึ้งต้องแยกให้ออกจากโรคอื่นๆที่มีอาการคล้ายๆกันครับ  เช่น  โรคหอบหืด  และถุงลมโป่งพอง  โรคหัวใจล้มเหลว  น้ำท่วมปอด  ถ้าไม่ใช่บุคคลาการทางการแพทย์การสังเกตุอาการอาจไม่ชำนาญ   ยกตัวอย่าง  โรคหอบหืด  เราจะได้ยินเสียงปอดมีเสียงวี๊ด  (wheezing)  หรือเสียงกรอบแกรบ(crepitation)  เป็นต้น  แต่เราก็มีคำแนะนำในการสังเกตุโรคHyperventilation  คือ

    ☆   มักพบในผู้ที่อายุน้อย  วัยรุ่น ที่ไม่มีโรคประจำตัว
   ☆  มักพบในคนที่มีเรื่องมากระทบจิตใจ  แล้วรับไม่ได้กับเรื่องที่ได้รับฟังมา
   ☆   มักพบในผู้ที่ดื่มสุรา  แล้วก็มีเรื่องที่ไม่สบายใจ
   ☆  อาการที่เห็นชัดเจนคือหายใจเร็ว  มือจีบเกร็ง  2ข้าง  ชาตามตัว  ควบคุมการหายใจของตัวเองไม่ได้
          
               ถ้าเราพบอาการแบบนี้ให้นึกถึงโรคนี้เลยครับ.......แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อดีครับ....ให้คุณตั้งสติดีๆ  แล้วจัดให้เขาอยู่เงียบๆ ไม่ต้องให้คุยกับใคร  เพื่อลดสิ่งกระตุ้น   ต่อมาให้แนะนำวิธีการหายใจเข้าออก  คือ  ให้หายใจช้า ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ  แล้วค่อยๆผ่อนออก   ถ้าทำไม่ได้.......เคยดูในหนังไหมครับเขาจะใช้ถุงพลาสติกครอบปาก  ให้หายใจในถุงพลาสติก หรือที่เรียกว่า  bag therapy เหตุผลคือเพื่อเพิ่ม ก๊าสคาร์บอนไดออกไซค์ในเลือดครับ  เพราะก๊าสตัวนี้มีหน้าที่ควบคุมการหายใจของเราครับ  ถ้าเราหายใจเร็วไปผลก็คือก๊าสออกซิเจนในเลือดเรามันมากเกินไป เราจึงไม่สามารถควบคุมการหายใจของเราได้ครับ  

               ถ้าลองทำตามที่ะนะนำแล้วไม่ดีขึ้น    ก็ค่อยพามาที่ โรงพยาบาลครับ  มาถึงโรงพยาบาลหมอก็ให้ทำตามที่ผมได้แนะนำไว้เหมือนกันครับ  ถ้าไม่ดีขึ้นเป็นมาก็อาจจะให้ยา อาจเป็น valium 5  mg iv stat   แล้วก็รอดูอาการหรือ อาจจะให้นอนโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้ครับ.........http://www.amazon.com/?_encoding=UTF8&tag=wwwstory2heal-20
<script>
  (function(i,s,o,g,r,a,m){i['GoogleAnalyticsObject']=r;i[r]=i[r]||function(){
  (i[r].q=i[r].q||[]).push(arguments)},i[r].l=1*new Date();a=s.createElement(o),
  m=s.getElementsByTagName(o)[0];a.async=1;a.src=g;m.parentNode.insertBefore(a,m)
  })(window,document,'script','//www.google-analytics.com/analytics.js','ga');

  ga('create', 'UA-51657328-1', 'story2health.blogspot.com');
  ga('send', 'pageview');

</script>

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ถอดเล็บ ไม่น่ากลัว

         ถอดล็บ
  หรือที่เรียกว่า
  Nail   extractionได้ยินชื่อนี้แล้วหลายคนคงนึกภาพว่า
การถอดเล็บ มันคงน่ากลัวมาก คงเจ็บมากไม่กล้ามา โรงพยาบาล  ไม่ต้องกลัวครับ  หมอเขามีวิธีทำให้ไม่เจ็บมาก  คือ มียาชาให้ครับ  แต่จะเจ็บนิดๆตอนฉีดยาชาครับ  เมื่อก่อนผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่กลัวมากๆ แต่พอได้มาเจอcase เยอะๆก็ไม่ค่อยกลัวแแล้วครับ   อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเล็บถ้าไม่รุนแรงแค่ฟกช้ำ  แต่มีเลือดออกใต้เล็บ  หมอก็ไม่แนะนำให้ถอด  แค่เจาะระบายเลือดออกก็พอ คือเล็บยังไม่เสีย คือถ้าไม่เจาะออกจะทำให้ปวดที่นิ้วมากขึ้น  เพราะใต้เล็บเรามันจะเป็นระบบปิดมีแรงดันอยู่ข้างในครับ  สังเกตุดูเวลาเจาะทะลุเล็บแล้ว  เลือดมักจะพุ่งเลย  แล้วก็หายปวดในทันที   จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับผมก็เคยถูกประตูหนีบ


ที่นิ้วมือครับมีเลือดออกใต้เล็บ  แล้วปวดมาก  หมอก็ใช้วิธีเจาะเล็บให้ครับพอเจาะแล้วเลือดพุ่ง หายปวดทันที


           แนะนำสำหรับใครที่ไม่อยากมาหาหมอ  ด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ก็ลองทำเองได้ครับ  วิธีคือใช้ปลายคลิบหนีบกระดาษดัดให้ตรงก่อน  แล้วเผาไฟให้ร้อน  จากนั้นก็นำมาจี้ที่เล็บให้เป็นรูโดยหมุนไปด้วยนะครับ  เจาะสัก 2รู ก่อนเจาะต้องเช็ดด้วย alcoholก่อนนะครับ  เจาะเสร็จเช็ดอีกรอบ แล้วปิดด้วยผ้าก๊อดสะอาดครับ 


            แต่ถ้ามันรุนแรงเล็บเขียวหรือใกล้หลุดก็ต้องถอดครับ  วิธีการคือ.....ฉีดยาชาที่โคนนิ้ว  2ข้างหรื่อที่เรียกว่า digital nerve block  ขั้นตอนนี้จะเจ็บเล็กน้อยตอนที่แทงเข็ม จากนั้นมันก็จะชาทั้งนิ้ว  แล้วก็เริ่มใช้  metzenbrom  เซาะข้างเล็บ  จากนั้นใช้ artery clamp   บิดเล็บออกทีละข้างจนหลุด  ตกแต่งบาดแผล  ปิดแผลด้วยsofatoley  ป้องกันผ้าก๊อดติดแผลครับ  เห็นไหมครับ  ง่ายนิดเดียว.....แล้วก็มาล้างแผลทุกวัน  ไม่ให้แผลถูกน้ำ  และทานยาแก้อักเสบร่วมด้วยครับ  7วันแผลก็หาย  ไม่น่ากลัวเลยใช่ไหมครับ   จบ...........http://www.amazon.com/?_encoding=UTF8&tag=wwwstory2heal-20
<script>
  (function(i,s,o,g,r,a,m){i['GoogleAnalyticsObject']=r;i[r]=i[r]||function(){
  (i[r].q=i[r].q||[]).push(arguments)},i[r].l=1*new Date();a=s.createElement(o),
  m=s.getElementsByTagName(o)[0];a.async=1;a.src=g;m.parentNode.insertBefore(a,m)
  })(window,document,'script','//www.google-analytics.com/analytics.js','ga');

  ga('create', 'UA-51657328-1', 'story2health.blogspot.com');
  ga('send', 'pageview');


</script>

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน

เวลาที่เด็กเป็นไข้ ตัวร้อนสิ่งที่ใครๆก็รู้  การดูแลเบื้องต้น  คือการเช็ดตัวลดไข้  ทานยาลดไข้  เชื่อมั้ย......ว่ายังมีพ่อแม่หลายคน  โดยเฉพาะพ่อ แม่มือใหม่ยังเช็ดตัวเด็กยังไม่เป็น......   ฟังดูว่าการเช็ดตัวลดไข้ก็ไม่น่าจะยากอะไร  แค่เอาผ้าชุบน้ำ แล้วก็เช็ด.....แต่ในทางการแพทย์เรามีวิธีที่แนะนำครับ



      ★  ต้องถอดเสื้อผ้า  ผ้าออมสำเร็จรูปออกให้หมดก่อนนะครับ

      ★  ใช้น้ำอุ่นๆ ครับในการเช็ด เหตุผลเพราะเพื่อช่วยในการเปิดรูขุมขน  ทำให้มีการระบายความร้อนออกจากร่างกาย ได้ดีกว่าการใช้น้ำเย็น  และเด็กไม่ค่อยหนาว

       ★  ใช้ผ้าในการเช็ดอย่างน้อย 2 ผืนครับ  ถ้าเราเช็ดคนเดียว  อีกผืนก็เอาไว้ตามซอกรักแร้ หรือขาอีกผืนก็เช็ดตามร่างกาย

       ★   เช็ดอย่างไร  ง่ายๆเช็ดเข้าหาหัวใจ  หรือย้อนรูขุมขน เพื่อการเปิดรูขุมขน
       ★  เช็ดนานแค่ไหน   นานประมาณ 15-20 นาทีหรือจนกว่าตัวจะเย็น

       ★   ต้องทำใจนะครับ  เด็กเล็กถ้าถูกเช็ดตัวร้องทุกราย  พ่อ แม่บางคนเห็นลูกร้องไห้ไม่ได้ ก็จะหยุดเช็ดตัว  ถ้าไม่เช็ด ตัวเด็กยังร้อนอยู่  ระวังลูกของท่านจะมีชักเกร็งจากไข้สูงนะครับ  ซึ่งผลเสียของเด็กชักนั้นคงทราบกันดีว่ามีผลต่อสมอง และความจำนะครับ

       ★  ให้ทานยาลดไข้  ทุก 4 ชม. นะครับ ตามแพทย์สั่ง เช่น ถ้าน้ำหนัก  10 kg  ก็ให้ para sry.  1 ชช.  หรือ  5cc ครับ  แล้วก็มาพบกุมารแพทย์ครับ เพื่อหาสาเหตุของการมีไข้  เพื่อรักษาให้ตรงกับโรคที่เป็นครับ  

หวังว่าเทคนิคนี้จะช่วยพ่อแม่มือใหม่ได้บ้างนะครับ.......http://www.amazon.com/?_encoding=UTF8&tag=wwwstory2heal-20

<script>
  (function(i,s,o,g,r,a,m){i['GoogleAnalyticsObject']=r;i[r]=i[r]||function(){
  (i[r].q=i[r].q||[]).push(arguments)},i[r].l=1*new Date();a=s.createElement(o),
  m=s.getElementsByTagName(o)[0];a.async=1;a.src=g;m.parentNode.insertBefore(a,m)
  })(window,document,'script','//www.google-analytics.com/analytics.js','ga');

  ga('create', 'UA-51657328-1', 'story2health.blogspot.com');
  ga('send', 'pageview');

</script>